ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาของสำนักงานคลังจังหวัดนราธิวาส
ในปี พ.ศ.๒๔๑๖ (จ.ศ.๑๒๓๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตราพระราชบัญญัติ สำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ กำหนดให้มีเจ้าพนักงานบาญชีกลาง เพื่อทำหน้าที่จัดทำบัญชีอากรทั้งปวงบรรดาที่ขึ้นอยู่ในหอรัษฎากรพิพัฒนให้เป็นหลักฐาน จะได้ทราบฐานะการเงินของแผ่นดินได้แน่นอน โดยตั้งอยู่ในหอรัษฎากรพิพัฒนในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๑๔๑๘ (จ.ศ.๑๒๓๗) ได้ทรงตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติด้วยกรมฯ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงิน เหตุผลในการตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นมีว่าการภาษีอากรซึ่งเป็นเงินขึ้นสำหรับแผ่นดินได้จัดจ่ายราชการทะนุบำรุงบ้านเมือง และค่าใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนั้นพระคลังมหาสมบัติยังไม่มีอย่างธรรมเนียมรับธรรมเนียมจ่ายเงินให้เรียบร้อยเงินจึงได้ติดค้างเจ้าภาษีนายอากรเป็นอันมาก ไม่พอจ่ายใช้ราชการ ทะนุบำรุงบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขยิ่งขึ้นได้ จึงทรงพระราชดำริปรึกษาพร้อมด้วยท่านเสนาบดี และเคาน์ซิลลอร์ออฟสเตด ตั้งเป็นพระราชบัญญัติขึ้น หลักการพระราชบัญญัตินี้คือ การจัดระเบียบราชการในกรมพระคลังมหาสมบัติให้มีอธิบดีเป็นประธาน และรองอธิบดีช่วยราชการท่านผู้เป็นอธิบดี มีเจ้าพนักงานใหญ่ ๕ นาย คือปลัดอธิบดีนาย ๑ เจ้าหนักงานบาญชีกลางนาย ๑ เจ้าพนักงานบาญชีรับเงินนาย ๑ เจ้าพนักงานบาญชีจ่ายนาย ๑ เจ้าพนักงานเก็บเงินนาย ๑ กับให้มีเจ้าพนักงานเป็นรองเจ้าพนักงานใหญ่อีกนายละ ๑ คน พร้อมทั้งกำหนดอำนาขหน้าที่ของบรรดาเจ้าพนักงานขึ้นไว้โดยชัดแจ้ง นอกจากนั้นโดยกำหนดให้มีออคิตอเยเนอราล เป็นเจ้าพนักงานสำหรับตรวจบาญชีและสิ่งของซึ่งเป็นรายขึ้นในแผ่นดินทุกๆราย และจัดวางระเบียบปฏิบัติต่างๆเพื่อใช้ในกรมพระคลังมหาสมบัติ (กรมพระคลังมหาสมบัติคือกระทรวงการคลังในปัจจุบัน)
อย่างไรก็ดี การดำเนินงานของกรมพระคลังมหาสมบัติที่ตั้งขึ้นใหม่ ยังมีอุปสรรคและยังไม่เหมาะสม เนื่องจากกิจการบ้านเมืองเจริญก้าวหน้ามากขึ้นและกรมพระคลังมหาสมบัติได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงแล้ว ดังนั้นในปี ๒๔๓๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้นเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ร.ศ.๑๐๙ (พ.ศ.๒๔๓๓) กำหนดให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติมีหน้าที่สำหรับรับสำหรับจ่ายและรักษาเงินแผ่นดินทั้งสรรพราชสมบัติพัสดุทั้งปวงกับถือบาญชีพระราชทรัพย์สำหรับในกระทรวงสิทธิขาดนับเป็นกรมเจ้ากระทรวงและกรมขึ้น รวมเป็นกรมใหญ่ ๑๓ กรม ดังนี้
กรมเจ้ากระทรวง ๕ กรม คือ
๑. กรมพระคลังกลาง สำหรับประมาณการรับจ่ายเงินแผ่นดินว่าภาษีอากร และบังคับบัญชาราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติทั้งสิ้น
๒. กรมสารบาญชี สำหรับจ่ายเงินแผ่นดิน และถือสารบาญชีพระราชทรัพย์ทั้งสิ้น
๓. การตรวจ สำหรับตรวจบาญชี ตรวจราคา ตรวจรายงานการรับการจ่ายเงินแผ่นดิน และสรรพราชสมบัติการภาษีอากรทั้งสิ้น
๔. กรมเก็บ สำหรับพระราชทรัพย์ทั้งสิ้น
๕. กรมพระคลังข้างที่ สำหรับจัดการเงินในพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งสิ้น ๘ กรม แบ่งเป็น ๒ แผนกคือ แผนกหนึ่ง กรมทำการแผ่นดินมี ๓ กรม คือ
๑. กรมกระสาปนสิทธิการ สำหรับทำเงินตรา
๒. กรมงานพิมพ์บัตร สำหรับทำเงินกระดาษและตั๋วตรา
๓. กรมราชพัสดุ สำหรับจัดการซื้อของห้องหลวงและรับจ่ายของส่วย
อีกแผนกหนึ่งกรมเจ้าจำนวน เก็บภาษีอากรมี ๕ กรม คือ
๑. กรมส่วย สำหรับเร่งเงิน ค่าราชการตัวเลขและค่าธรรมเนียม
๒. กรมสรรพากรสำหรับเก็บอากรต่างๆ
๓. กรมสรรพภาษี สำหรับเก็บเงินต่างๆ
๔. กรมอากรที่ดิน สำหรับเก็บเงินอากรค่าที่ต่างๆ
๕. กรมศุลกากร สำหรับเก็บเงินภาษีขาเข้าขาออก
ซึ่งโดยเหตุผลแห่งพระราชบัญญัติพระธรรมนูญฉบับดังกล่าว กรมสารบาญชี หรือกรมบัญชีกลางในปัจจุบัน จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ร.ศ.๑๐๙ (พ.ศ.๒๔๓๓) โดยมีสถานที่ทำการ ณ ตึกหอรัษฎากรพิพัฒน ภายในบริเวณพระบรมมหาราชวัง ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดอำนาจหน้าที่กรมต่างๆซึ่งขึ้นอยู่ในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติทั้ง ๑๓ กรม ไว้โดยละเอียด สำหรับกรมสารบาญชีนั้น พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดอำนาขหน้าที่และแบ่งส่วนราชการ ดังนี้
“กรมสารบาญชี มีหน้าที่รับจ่ายเงินตามรายประมาณ และทำบาญชีรักษาพระราชทรัพย์แลสารบาญชีหน้าหลวงในใบเบิกทั้งสิ้น มีอธิบดีรับผิดชอบในกรมสารบาญชีทั่วไป ๑ รองอธิบดีช่วยการในอธิบดี ๑ มีนายเวร ๔ คือ
๑. เวรรับ สำหรับรับเงิน ฤาราชสมบัติทั้งปวง และทำบาญชีรายรับ
๒. เวรจ่าย สำหรับจ่าย ฤาราชสมบัติทั้งปวง และทำบัญชีรายจ่าย
๓. เวรแบงค์ สำหรับทำบาญชีเงินรับจ่ายในนานาประเทศ แลเป็นธุรการแลกเปลี่ยน หรือเงินฝากแบงค์
๔. เวรบาญชี สำหรับรักษาบาญชีพระราชทรัพย์ บาญชีรายงบประมาณบาญชีหนี้หลวง แลใบเบิก ใบนำใบเสร็จ ตั้งเร่งหนี้หลวง มีเจ้าพนักงานผู้ช่วย เสมียนเอก เสมียนโท เสมียนสามัญ พอสมควรแก่ราชการ”
และได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยานรนารถภักดีศรีรัษฎากร (เอม ณ มหาชัย) เป็นอธิบดีกรมสารบาญชีคนแรก และโปรดเกล้าให้ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพร้อมพงศ์อธราชเป็นรองอธิบดี กับทรงแต่งตั้งให้มิสเตอร์ แอล.เอ็ม.เอ็ม.ครอส (Mr.L.M.M.Cross) เป็นผู้ช่วยอธิบดีที่ปรึกษากับการบัญชีทั้งปวง และในปี พ.ศ.๒๔๓๓ นั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ทรงโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติกรมสารบาญขึ้น เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ร.ศ.๑๐๙ (พ.ศ.๒๔๓๓) กำหนดหน้าที่ และแบ่งส่วนราชการกรมสารบาญชีออกเป็น ๓ กองคือ กองบาญชีกลาง กองรับและกองจ่ายกับนายเวร ๔ คือ เวรรับ เวรจ่าย เวรเกณฑ์ (เดิมเรียกว่าเวรแบงค์) และเวรบาญชี
ครั้งมาในปี พ.ศ.๒๔๕๘ ซึ่งอยู่ในรัชการพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกี่ยวกับ กรมสารบาญชี ดังนี้คือ ในเวลานั้นเงินรายได้รายจ่ายของแผ่นดินมีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ จำเป็นจะต้องตรวจตราการรับจ่ายและเงินรักษาเงินให้รัดกุมยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่เฉพาะสำหรับปฏิบัติการ ไม่ก้าวก่ายกันดังที่เป็นอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดินขึ้นในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ สำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจหน่วยราชการที่รับหรือเบิกจ่าย หรือรักษาเงินแผ่นดิน และเงินอื่นๆที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และมิให้หน้าที่ของกรมที่ตั้งขึ้นใหม่ปะปนกับเจ้าหน้าที่ของเดิม จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้รวมกรมตรวจและกรมสารบาญชี ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.ศ.๑๐๙ (พ.ศ.๒๔๓๓) เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมบาญชีกลาง” เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๔๕๘ อันถือเป็นวันที่ได้มีการสถาปนากรมบัญชีกลางขึ้นเป็นครั้งแรก
ต่อมาได้มีการกระจายความรับผิดชอบไปยังจังหวัดต่างๆ โดยมีการแต่งตั้งสำนักงานคลังจังหวัด และสำนักงานคลังอำเภอ ตั้งแต่เมื่อใดไม่มีเอกสารปรากฏ แต่มีหลักฐานบางจังหวัดมีการแต่งตั้งคลังจังหวัด ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๒ ต่อมาเพื่อให้สำนักงานคลังอำเภอมีฐานะเทียบเท่าสำนักงานคลังจังหวัด ณ อำเภอ...และในปี พ.ศ.๒๕๕๐ กรมบัญชีกลางได้ยุบสำนักงานคลังจังหวัด ณ อำเภอ...เหลือเพียงสำนักงานคลังจังหวัด ๗๕ จังหวัด
สำหรับราชการบริหารส่วนภูมิภาค ตั้งคลังจังหวัดรับผิดชอบควบคุมการรับและจ่ายเงินตลอดจนทำบัญชีและรายงานต่างๆเสนอกรม และในปี พ.ศ.๒๕๑๖ ได้เปลี่ยนชื่อคลังจังหวัดเป็น “สำนักงานคลังจังหวัด........”
จำนวนผู้เข้าชม วันนี้ 35 คน
(จากผู้เข้าชมทั้งหมด 195,869 คน)
(จากผู้เข้าชมทั้งหมด 195,869 คน)